แรงกดดันจากสิ่งแวดล้อม ส่งผลกับเราแบบไม่รู้ตัว


แรงกดดันจากสิ่งแวดล้อม ส่งผลกับเราแบบไม่รู้ตัว


แรงกดดันจากสิ่งแวดล้อม ช่วงนี้ผมได้เห็น และได้พบเจอในระหว่างการทำนายดวงให้กับลูกค้าต่างๆ ที่เป็นทั้งคนเก่งและประสพความสำเร็จ


.


ต่างมีแรงกดดันบางอย่างที่หลายครั้งที่พวกเค้าก็ไม่รู้สึกตัว มันเป็นแรงกดดันจากสังคม หรือเรียกได้ว่า สังคมรอบตัวเค้านั่นเอง เป็นตัวกดดันเค้าแบบเจ้าตัวยังไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ กลับพยายามผลักดันตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนหาจุดสิ้นจุดไม่เจอ และบางทีก็ผลักดันจนตัวเองไม่รู้ว่า ความสุขของตัวเองคืออะไรในตอนนี้


.


บ้างก็เป็น ซึมเศร้า แม้ว่าชีวิตของเค้าจะประสพความสำเร็จมากก็ตาม แต่ผลจากของความสำเร็จในชีวิตของเค้า และแรงกดดันจากคนรอบข้างกลับทำให้ กลายเป็นซึมเศร้า ไม่รู้ตัว


.


โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวช สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โรคนี้มักมาจากมรสุมชีวิตและการสูญเสีย มีอาการคล้ายที่เห็นใกล้เคียงกับอาการเศร้าหรือเสียใจทั่วไป


.


มันมาเงียบๆ แต่เป็นปัญหาในสังคมในยุคปัจจุบัน อีกทั้งแรงกดดันจากสังคม ที่อาจจะทำให้เราต้องทะเยอทะยานมากกว่าที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นแล้ว ใครที่กลับมาหาจุดยืนของตัวเองได้ไวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสุขในชีวิตได้ไวขึ้นเท่านั้น


.


ถ้าใครกำลังคิดว่าตัวเองมีเกณฑ์ที่จะเป็นโรคซึมเศร้าไหม ลองเช็คจากข้างล่างนี้ดู ถ้าได้เกิน 3 ข้อ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงแล้วครับ


.


1. เบื่อ ไม่สนใจอยากทำอะไร


2. ไม่สบายใจ ซึมเศร้า ท้อแท้ อยู่บ่อยๆ


3. หลับยาก หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือหลับมากไป


4. เหนื่อยง่าย หรือ ไม่ค่อยมีแรง


5. เบื่ออาหาร หรือ กินมากเกินไป


6. รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง คิดว่า ตัวเองล้มเหลว หรือ ทำให้ตนเองหรือครอบครัวผิดหวัง


7. สมาธิไม่ดีเวลาทำอะไร เช่น ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรือ ทำงานที่ต้องใช้ความตั้งใจ


8. พูดช้า ทำอะไรช้าจนคนอื่นสังเกตเห็นได้ หรือ


กระสับกระส่ายไม่สามารถอยู่นิ่งได้เหมือนที่เคยเป็น


9. คิดทำร้ายตนเอง หรือ คิดว่าถ้าตายไปคงจะดี


.


แล้วคุณล่ะได้กันกี่ข้อ


ถ้าน้อยกว่า 3 ข้อ ก็ถือว่า รอดตัว แต่ก็ต้องระวัง


แต่ถ้ามากกว่า 3 ข้อ ก็ถือว่ามีเกณฑ์ที่จะเป็นซึมเศร้าได้


.


.


สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของคนเป็นซึมเศร้าคือ


.


1. อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป ที่พบบ่อยคือจะกลายเป็นคนเศร้าสร้อย หดหู่ สะเทือนใจง่าย ร้องไห้บ่อย เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ดูเหมือนจะอ่อนไหวไปหมด บางคนอาจไม่มีอารมณ์เศร้าชัดเจนแต่จะบอกว่าจิตใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส ไม่สดชื่นเหมือนเดิม บางคนอาจมีความรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เดิมตนเคยทำแล้วเพลินใจหรือสบายใจ เช่น ฟังเพลง พบปะเพื่อนฝูง เข้าวัด ก็ไม่อยากทำหรือทำแล้วก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้น บ้างก็รู้สึกเบื่อไปหมดตั้งแต่ตื่นเช้ามา บางคนอาจมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่ใจเย็นเหมือนก่อน


.


2. ความคิดเปลี่ยนไป มองอะไรก็รู้สึกว่าแย่ไปหมด มองชีวิตที่ผ่านมาในอดีตก็เห็นแต่ความผิดพลาดความล้มเหลวของตนเอง ชีวิตตอนนี้ก็รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ไม่เห็นทางออก มองอนาคตไม่เห็น รู้สึกท้อแท้หมดหวังกับชีวิต บางคนกลายเป็นคนไม่มั่นใจตนเองไป จะตัดสินใจอะไรก็ลังเลไปหมด รู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถ ไร้คุณค่า เป็นภาระแก่คนอื่น ทั้งๆ ที่ญาติหรือเพื่อนๆ ก็ยืนยันว่ายินดีช่วยเหลือ เขาไม่เป็นภาระอะไรแต่ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ความคับข้องใจ ทรมานจิตใจ เหล่านี้อาจทำให้เจ้าตัวคิดถึงเรื่องการตายอยู่บ่อยๆ แรกๆ ก็อาจคิดเพียงแค่อยากไปให้พ้นๆ จากสภาพตอนนี้ ต่อมาเริ่มคิดอยากตายแต่ก็ไม่ได้คิดถึงแผนการณ์อะไรที่แน่นอน เมื่ออารมณ์เศร้าหรือความรู้สึกหมดหวังมีมากขึ้น ก็จะเริ่มคิดเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทำอย่างไร ในช่วงนี้หากมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจเกิดการทำร้ายตนเองขึ้นได้จากอารมณ์ชั่ววูบ


.


3. สมาธิความจำแย่ลง จะหลงลืมง่าย โดยเฉพาะกับเรื่องใหม่ๆ วางของไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก ญาติเพิ่งพูดด้วยเมื่อเช้าก็นึกไม่ออกว่าเขาสั่งว่าอะไร จิตใจเหม่อลอยบ่อย ทำอะไรไม่ได้นานเนื่องจากสมาธิไม่มี ดูโทรทัศน์นานๆ จะไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือก็ได้ไม่ถึงหน้า ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานผิดๆ ถูกๆ


.


4. มีอาการทางร่างกายต่างๆ ร่วม ที่พบบ่อยคือจะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งเมื่อพบร่วมกับอารมณ์รู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากทำอะไร ก็จะทำให้คนอื่นดูว่าเป็นคนขี้เกียจ ปัญหาด้านการนอนก็พบบ่อยเช่นกัน มักจะหลับยาก นอนไม่เต็มอิ่ม หลับๆตื่นๆ บางคนตื่นแต่เช้ามืดแล้วนอนต่อไม่ได้ ส่วนใหญ่จะรู้สึกเบื่ออาหาร ไม่เจริญอาหารเหมือนเดิม น้ำหนักลดลงมาก บางคนลดลงหลายกิโลกรัมภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องผูก อืดแน่นท้อง ปากคอแห้ง บางคนอาจมีอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว


.


5. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปลี่ยนไป ดังกล่าวบ้างแล้วข้างต้น ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะดูซึมลง ไม่ร่าเริง แจ่มใส เหมือนก่อน จะเก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยพูดจากับใคร บางคนอาจกลายเป็นคนใจน้อย อ่อนไหวง่าย ซึ่งคนรอบข้างก็มักจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป บางคนอาจหงุดหงิดบ่อยกว่าเดิม แม่บ้านอาจทนที่ลูกๆ ซนไม่ได้ หรือมีปากเสียงระหว่างคู่ครองบ่อยๆ


.


6. การงานแย่ลง ความรับผิดชอบต่อการงานก็ลดลง ถ้าเป็นแม่บ้านงานบ้านก็ไม่ได้ทำ หรือทำลวกๆ เพียงให้ผ่านๆ ไป คนที่ทำงานสำนักงานก็จะทำงานที่ละเอียดไม่ได้เพราะสมาธิไม่มี ในช่วงแรกๆ ผู้ที่เป็นอาจจะพอฝืนใจตัวเองให้ทำได้ แต่พอเป็นมากๆ ขึ้นก็จะหมดพลังที่จะต่อสู้ เริ่มลางานขาดงานบ่อยๆ ซึ่งหากไม่มีผู้เข้าใจหรือให้การช่วยเหลือก็มักจะถูกให้ออกจากงาน


.


7. อาการโรคจิต จะพบในรายที่เป็นรุนแรงซึ่งนอกจากผู้ที่เป็นจะมีอาการซึมเศร้ามากแล้ว จะยังพบว่ามีอาการของโรคจิตได้แก่ อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนร่วมด้วย ที่พบบ่อยคือ จะเชื่อว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง หรือประสงค์ร้ายต่อตนเอง อาจมีหูแว่วเสียงคนมาพูดคุยด้วย อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับการรักษา อารมณ์เศร้าดีขึ้น อาการโรคจิตก็มักทุเลาตาม


.


.


ถ้าพบเจอใครที่กำลังมีปัญหา ประโยคเหล่านี้เอาไปลองทักหรือพูดคุยกับเค้าได้


.


"เธอไม่ได้อยู่คนเดียวนะ"


"เรารักเธอนะ"


"เราอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่อย่างน้อยฉันก็เป็นกำลังใจให้เธอได้นะ"


"อยากให้เรากอดไหม"


"เธอสำคัญกับฉันเสมอนะ"


.


อย่าไปใช้คำพูดเหล่านี้เด็ดขาด เพราะอาจจะไปกระตุ้นอาการพวกเค้าได้


.


"ไปหาอะไรทำดีกว่า"


"ไม่เป็นไรนะ เด๊วมันก็ผ่านไป"


"ลืมๆ มันไปเถอะ"


"ไม่อยากรู้สึกแบบนั้น ก็เลิกคิดสิ"


.


.


วันนี้คุณอาจจะเริ่มพบเจอปัญหา แต่ยิ่งคุณรู้ว่าจะรับมืออย่างไร ก็ยิ่งจะจัดการอาการต่างๆได้ง่ายขึ้น


.


แต่ถ้าตอนนี้ทุกอย่างมันกดดันไปหมด และไม่มีใครรับฟังสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ ทักหาผมดูสิครับ ผมยินดีรับฟังคุณ : http://bit.ly/2yRduZO